12 เมษายน 2549

วันที่ 12 - วัดโฝกวงซาน

Today's Programme

Morning Fo Guang Shan
AfternoonA trip of Xin Jue Jiang
EveningLove River
HotelToong Mao Hotel, KaoHsiung

วันนี้เราเดินทางกันไกลๆ อีกแร้ว ตามโปรแกรมต้องไปใช้เวลาช่วงเช้าที่วัดโฝกวงซาน (Fo Guang Shan) ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่และดังมาก สร้างมาตั้งแต่ปี 1967 แต่กว่าเราจะถึงวัดก็ปาเข้าไปเกือบ 11.30 น. แล้วอ่ะ มันเป็นเวลาพอดีเวลากินเจของทางวัด เราเลยต้องรีบเดินๆๆๆๆเพื่อที่จะไปโรงอาหาร เพราะมื้อนี้เราจะฝากท้องไว้ที่นี่ ไปถึงที่ห้องอาหาร แบบว่าตกใจ คนเป็นพันสวดมนต์กันอยู่ แค่จำนวนพระที่นั่งอยู่ก็เกินครึ่งแล้วอ่ะ ห้องอาหารที่นี่เค้าจัดไว้เป็นแถวยาวๆ บนโต๊ะมี ฝรั่งครึ่งลูก ถ้วย 2 ใบ จาน 1 ใบ ใส่กับข้าวที่เป็นถั่วฝักยาวผัดกะอะไรสักอย่าง แล้วก็มันฝรั่งกะฟักทองทอด แล้วก็มีที่เหลือไว้ให้ใส่อย่างอื่นอีกอ่ะ นั่งพนมมือตอนเค้าสวดสักพัก(เล็กมากๆ) ก็มีพระเดินมาตักข้าวใส่ถ้วยให้ สักพักก็มีอีกองค์เดินมาตักแกงเหมือนราดหน้าให้ อีกสักพักก็มีอีกคนตักผัดผักไรสักอย่าง แร้วก็มีอีกมาแจกผักต้ม เค้าจะตักให้ทุกคนพูนๆจาน ทุกคนก็รับๆ ไม่พูดอะไร แต่เราเห็นแล้วว่าเป็นผัดผักที่ไม่อยากกินเลยบอกเค้า "หว่อ ย่าว เสี่ยว เสี่ยว" 555 ภาษาจีนถูกป่าวไม่รู้ แต่ท่านเข้าใจว่าจะเอาน้อยๆ ถ้าได้ครบแร้วจะเอาอันไหนให้เอาจานมาใกล้ตัว อันไหนเยอะไปหรือไม่เอาก็ให้เอาไว้ข้างหน้าต่างจากตัว สักพักจะมีพระเดินมาตามเก็บกลับไป (จะได้ไม่ต้องทิ้งของ) เราไม่อยากกินฝรั่งเราก็เลยยื่นฝรั่งไว้ข้างหน้า แปร๊บนึงพระท่านก็มาตามเก็บ

ที่นี่เค้าทำงานกันเป็นระเบียบ ระหว่างที่หม่ำอยู่พระที่ทำหน้าที่บริการก็จะเดินอยู่เรื่อยๆ เห็นมีพระฝรั่งเดินบริการด้วยอ่ะ ท่านเดินเก็บอาหารบ้าง เดินเติมอาหารบ้าง ตอนทานเสร็จก็ให้เอาของยื่นไปด้านหน้า เด๋วจะมีพระมาเดินเก็บแบบว่าเหมือนเครื่องจักรมาก เค้าทำงานกันเร็วมากๆ

หม่ำเสร็จแต่ละตุ้ยจะมีแม่ชี เดินนำชมวัด แม่ชีที่นี่เราต้องเรียกท่านว่า "ซื่อฝู" หรือถ้าจะเรียกเป็นอังกฤษก็คือ "Venerable" (เหอๆ ยาวไป) แม่ชีที่นี่จับตัวผู้ชายได้ (แต่ไม่ควรจับ) และพระก็จับตัวผู้หญิงได้ (แต่ก็ไม่ควรอีกน่านแหละ) แล้วแม่ชีพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากๆ ที่แรกที่เราไปคือ Main Shire แปลเป็นไทยได้ว่าไรไม่รุ้อ่ะ ศัพท์ทางศาสนา แปลไม่ถูกฟร่ะ เข้าไปข้างในคือแบบว่าโอ้ว มานใหญ่มั่กๆ ตรงกลางมีพระ 3 องค์ องค์ขวาที่ถือลูกบอลคือองค์ที่คุ้มครองเรื่องสุขภาพ องค์กลางคือเจ้าชายสิทธัตถะ และองค์ซ้ายคือองค์ที่สอนเรื่องศาสนาเราหลังจากที่เราตาย (ก่อนเรามาเกิดใหม่) ด้านซ้ายและขวา(ริมๆ) ของตัวโบสถ์จะมีกลองและระฆังซึ่งทางวัดเอาไว้ตีในวันที่มีพิธีสำคัญเท่านั้น ตามกำแพงโบสถ์น้านก็จะมีพระองค์เล็ก องค์น้อยเต็มไปหมด แม่ชีที่พาเราเดินชมบอกว่ามีพระทั้งหมด 14,800 องค์ ส่วนด้านหน้าที่ใกล้ๆกับองค์พระใหญ่ก็มีเจดีย์ 2 อันที่มีพระองค์เล็กมาประกอบเป็นเจดีย์ เค้าบอกว่าใช้พระทั้งหมด 7,200 องค์ ซึ่งเจดีย์พระนี้จำลองมากจากที่ DunHuang ที่อยู่ในเขตอูรูมู่ฉี ที่เมืองจีน มาที่นี่เราได้รู้ว่าเครื่องหมายที่เหมือนสวัสดิกะของนาซีแต่หันไปคนละทางอ่ะ เป็นเครื่องหมายที่เรียกว่า ซาวาสกี(ภาษาสันสกฤษ)เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธ มีที่มาจากราชินี อู๋เจี๋ยเทียน (ไม่รู้ใช่บูเช็กเทียนที่เราเคยได้ยินป่าว)

การกราบพระของคนไต้หวันไม่เหมือนคนไทยด้วยหล่ะ เค้ามีวิธีกราบพระโดยการ ยืนไหว้ครึ่งตัว 1 ครั้ง แล้วนั่งกราบแบบคว่ำมือก่อนแล้วระหว่างน้านก็กำมือ(ประกบสองมือ) 3 ครั้ง

จากน้านเราไปที่ Meditation Hall ดูมืดๆขลังดีนะ เค้าบอกว่าที่นี่จุคนได้ถึง 400 คน แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าเพราะดูไม่ค่อยใหญ่ เค้าบอกว่าให้นั่งสมาธิประมาณ 30-45นาที แล้วก็ไปเดินจงกลมรอบห้องต่อจะดีมาก ที่นี่เค้ามีห้องพักผ่อน กินน้ำ ดื่มชา อยู่ข้างๆด้วย ใครนั่งสมาธิเสร็จก็ไปพักผ่อนข้างๆได้ จากนั้นเราเดินชมพิพิทธภัณฑ์(เค้าห้ามถ่ายรูป)มันสวยอ่ะ ที่นี่ดีนะ น่าไปอีก แล้วที่คุยกับแม่ชีมา เค้าบอกที่วัดนี้มีสอนศาสนาทั้งภาษาจีนและอังกฤษ เลือกเรียนภาษาอะไรก็ได้ เค้าเรียนกันเป็นเรื่องเป็นราว เป็นมหาวิทยาลัยเลย

เนื่องจากเรามีเวลาไม่มาก ที่สุดท้ายของวัดที่เราจะไปดูคือพระองค์ใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของวัด ตรงฐานของพระองค์ใหญ่มีเหมือนที่แสดงพระแบบต่างๆ รอบฐานด้านนอกมีพระองค์เล็กประมาณ 500 องค์เป็นปางต้องห้าม ที่หมายความว่า "fearless" ส่วนมือซ้ายจะหงายมือออก แปลว่า "Welcome" แม่ชีบอกว่าที่นี่เหมาะที่จะเดินจงกลมมาก

จบจากวัดเราไปกลางเมือเกาสง ไปแหล่งชอปปิ้งที่ชื่อว่า "เฉินซื่อกวงหลาง" ระหว่างทางเข้าเหมือน นึกว่าอยู่บ้าน รถบรรทุกเพียบเรย เพราะเกาสงเป็นเมืองอุตสาหกรรม บรรยายกาศที่แบบว่ารถบรรทุกเยอะๆ แล้วรถติดๆเนี่ย มันเหมือนอยู่พระประแดงชะมัด เราไปเดินตรงแหล่งชอปปิ้งน้านไม่นานก็เบื่อ เพราะมันไม่มีอะไรอ่ะ จงลี่ยังใหญ่กว่าเลย

แต่ที่แปลกใจคือคนที่นี่ต้องคิวซื้อ Pon De Ring ที่เหมือนที่บ้านเรามีอ่ะ แบบว่าต่อคิวกันยาวอ่ะ เหมือนบ้านเราไปต่อซื้อ Roti Boy อ่ะ แต่แบบไม่น่าเชื่อ บ้านเรานี่ไม่ได้จะฮิตไรขนาดน้านเรยทำไมที่นี่ฮิตฟระ

หลังจากที่เราเข้าพักที่โรงแรมแล้ว เค้าแนะนำให้เราเดินไปอ้ายเหฮอ (แปลว่า แม่น้ำรัก หรือ Love river) เราก็เลยไปเดินซะหน่อย มันก็ไม่เหนมีไรสวยเป็นพิเศษ แค่เค้าแต่งไฟไว้รอบๆเท่านั้นเองอ่ะ ทั้งข้างทางและสะพานสีไฟสวย แต่ดูไงเจ้าพระยาก็สวยกว่า แล้วแบบสงสัยว่าที่เค้าเรียกว่า Love river เพราะว่ามันมาจากบรรยากาศรอบๆข้างที่คู่รักมากันเยอะๆ แบบว่า about-to-make-love รึป่าว อิอิ