09 เมษายน 2549

วันที่ 9 - ทะเลสาบสุริยันจันทรา

Today's Programme

MorningJi Ji Station
AfternoonSun Moon Lake
EveningActivity of Team
HotelChing Sheng Hotel, Sun Moon Lake

วันนี้ตื่นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวย้ายเมือง ทุกคนแบบว่าร่กๆรีบๆเก็บของ บางคนก็โดดไม่ไปกินข้าวเช้า ตอนอยู่บนรถบัส พี่อาร์มที่เป็นตุ้ยจ่างเรียกหาคนที่ไม่ไปกินข้าวเช้าให้ยกมือขึ้นด้วยหน้าตาดุๆ คนที่ไม่ได้ไปเรยยกมือยอมรับ เพราะปกติตอนเช้าฝูเต่าหยวนจะคอยนับคนอยู่แร้ว เค้าคงรู้แร้วว่ามีคนไม่ไปกินเยอะ พี่อาร์มก็บอกให้คนที่ไม่ได้กินมาโดนทำโทษ โดยการทำโทษให้กินขนมปังทาแยมที่พี่อาร์มเตรียมมาให้ (น่ารักดีอ่ะ)

ออกจากไถจง เรามุ่งหน้าไปที่ สถานีรถไฟ Ji Ji (จี๋จี๋) ประวัติความเป็นมาของสถานีนี้มีอยู่ว่า เมื่อก่อนสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองเกาะไต้หวัน เค้าจะใช้สถานีรถไฟนี้ลำเลียงเสบียงไปที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา สมัยก่อนสถานนี้เคยเป็นจุดศูนย์กลางของแผ่นดินไหว ทุกอย่างก็เลยพังหมด รัฐบาลไต้หวันก็เลยไม่บูรณะมัน แต่คนท้องถิ่นรวมตัวกันบริจาคเงินสร้างใหม่เอง แต่เงินไม่พอที่จะของใหม่ก็เลยเอาอะหลั่ย แล้วก็อุปกรณ์ของเก่าที่พังจากแผ่นดินไหวมาบูรณะใช้ในสถานีจี๋จี๋ที่สร้างใหม่ด้วย

เรามาถึงสถานีรถไฟ JiJi ตอนสายแก่ๆ เค้าให้เราเดินกันตามสบายประมาณ 20 นาที เดินไปนิดเดียวไม่ค่อยมีอะไรอ่ะ ที่เสียเวลาก็คือเข้าไปในแหล่งขายของที่ระลึก-ของกิน นี่ถ้าใครมาเที่ยวเองไม่ต้องมาก็ได้ เหอๆ ไม่เหนมีไร

จากสถานีรถไฟจี๋จี๋เราเดินไปที่ วัดอู่ชางกง เดินมาไกลโขเราก็ถึงวัด ตอนแรกนึกว่าวัดนี้ประมาณว่าสวยมาก แต่ปรากฏไปถึงเจอซากวัดถล่ม เหอๆ วัดนี้ถล่มเพราะแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1999 วัดเลยถล่มเละ แต่สภาพยังดูดีอยู่ ไม่รู้เค้าจะซ่อมหรือเปล่า แต่ว่าองค์พระที่เมื่อก่อนเคยอยู่ข้างใน เค้าย้ายออกไปไว้ที่ศาลาที่ฝั่งตรงข้ามถนน องค์พระพุทธรูปที่นี่แปลกกว่าที่อื่นเพราะว่าหลังจากแผ่นดินไหวคราวนั้น เคราที่องค์พระทั้ง 3 องค์ก็ยื่นออกมาเรื่อยๆ ทั้งๆที่องค์พระทำจากไม้ ปกติไม้ที่ตัดออกจากต้นแล้วจะไม่งอกเพิ่ม แต่องค์พระที่นี่มีเครางอกเรื่อยๆ แปลกดีนะ

ออกจากที่นี่ขึ้นรถแล้วฉ่วนฉวนเล่าให้เราฟังว่าที่ไต้หวันเนี่ยเวลาเข้าวัดเนี่ยเค้าจะเข้ากันที่ประตูขวา แล้วออกที่ประตูซ้าย (ประตูกลางเค้าไว้ให้พระเดิน) เพราะเค้าเชื่อกันว่าที่วัดเนี่ย จะมีเสือเฝ้าอยู่ที่ประตูซ้ายไว้คอยกันความโชคร้าย และที่ประตูขวาจะมีมังกรเฝ้าอยู่ จำไม่ได้เหมือนกันว่ามังกรเค้ามีไว้ทำไม แต่เราต้องไม่เข้าประตูซ้ายเพราะเด๋วโดนเสือตะปบ อิอิ

เรามาถึง ทะเลสาบสุริยันจันทรา (ภาษาจีนเรียกว่า "ยื่วอ เย่ ถาน" ส่วนภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า "Sun Moon Lake") ตอนเที่ยงกว่าๆ เค้าพาเราขึ้นไปมุมสูงที่เห็นท่าเรือชัดเจน สวยมั่กๆเรย แร้วให้เราหม่ำข้าวกล่องที่เค้าซื้อมาให้จาก 7-11 (ไม่รู้เค้าทำไงให้ข้าวกล่องตั้งร้อยกว่ากล่องยังร้อนอยู่ได้ มานอุ่นมาไงฟระ ) หม่ำไปชมวิวไป คนมาเป็นคู่คงชอบหง่ะ อิอิ แต่นี่มากานเปนร้อย ที่นั่งไม่พอ ต้องแบบว่าเราไปนั่งข้างๆ แร้วคนที่ไม่ได้นั่งก็ยืนกดดันลุงกะป้า ที่นั่งพักเฉยๆให้ลุกเดินหนีไปเอง 55555 เลวอ่ะ หม่ำข้าวเสร็จเราก็ไปชมท่าเรือที่ฟ้ากะน้ำสีสวยมั่กๆ

ทะเลสาบสุริยันจันทราเนี่ยจะมีเกาลาหลู อยู่ที่ตรงกลางทะเลสาบ เค้าเล่ากันว่า สมัยก่อนมีเผ่าพื้นเมืองไต้หวันเผ่านึง(จาก 12 เผ่า) ชื่อว่าเผ่า "เส้าจู่" เผ่านี้เนี่ยจะมีคนน้อยที่สุดในบรรดาเผ่าต่างๆ คนของเผ่านี้เป็นพวกที่ชอบล่าสัตว์ เค้าตามล่าสัตว์สีขาว 3วัน 3คืนก็จับไม่ได้ ล่าไปล่ามาจนถึงทะเลสาบสุริยันจันทรานี้ ก็เลยตั้งรกรากกันตรงนี้ ส่วนสัตว์สีขาวตัวน้านก็หากันไม่เจอ แต่เค้าหันไปเห็นต้นไม้ใหญ่ เค้าเลยคิดว่าสัตว์สีขาวที่พามาถึงแหล่งที่มีน้ำ ปลา อาหารอุดมสมบูรณ์นี้ แท้จริงแล้วคือเทพเจ้าอะไรสักอย่ง เค้าเลยทำความเคารพต้นไม้ต้นนั้น (เรียกว่า "เฉียตงซู่") เมื่อก่อนที่จะเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ทะเลสาจะแบ่งเป็น 2 ซีก คั่นด้วยทางเดินที่เป็นเกาะลาหลู เวลาเรามองไปที่ทะเลสาบ จะเห็นเป็น 2 ซีก ซีกนึงจะเห็นพระอาทิตย์ อีกซีกนึงจะเห็นพระจันทร์พร้อมๆ กัน แต่ตอนนี้ปรากฏการณ์แบบน้านไม่มีแล้ว แผ่นดินไหวทำให้เกาะตรงกลางหายไป ตอนนี้เหลือแต่อีกปรากฏการณ์นึงที่เกิดวันพระจันทร์เต็มดวง ตอนที่พระจันทร์ขึ้นเต็มที่แล้ว แสงจะสะท้อนลงไปที่ทะเลสาบ ให้เห็นเป็นพระอาทิตย์ จะดูเหมือนว่ามีทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์อยู่พร้อมๆ กัน

จบจากจุดท่าเรือของทะเลสาบ เค้าพาเราขึ้นรถวนไปวนมา ผ่านอุโมง แบบว่าปวดหัวจะอ้อกอยู่แร้วอ่ะ เพื่อไปที่เจดีย์ที่เจียงไคเช็กสร้างเพื่อรำลึกถึงแม่ ที่เค้าสร้างขึ้นมาเพราะตอนที่เจียงไคเช็กมาอยู่บ้านที่ยื่อเย่ถานนี้ (บ้านของเจียงไคเช็กมีอยู่หลายที่ แต่ว่าที่นี่สวยสุด เค้าเรียกว่า "ฉือเอิน") เวลาที่มองออกมานอกบ้าน จะเห็นทะเลสาบชัดเจน เจียงไคเช็กมองแร้วก็คิดถึงแม่ อยากให้แม่ได้มาเห็น เค้าเลยสร้างเจดีย์ไว้ในที่ๆสวยที่สุด เพราะอยากให้แม่ได้เห็นวิวที่สวยที่สุด ที่ยอดเจดีย์จะมีระฆัง ส่วนที่ฐานเจดีย์มีกลอง เราตั้งไปตีทั้ง 2 อย่าง แล้วตะโกนว่ารักพ่อ รักแม่ เพื่อแสดงความรักต่อท่าน เจดีย์นี้อยู่ 1,000 เมตรจากระดับน้ำ มีความสูง 9 ชั้น รถต้องไปจอดไว้ปลายทางแร้วให้เราเดินปีนเขาขึ้นไปเอง เราต้องเดินไปสูงมั่กๆเพราะมีบันไดตั้ง 570 ขั้น เดินวนๆ ขึ้นรอบเขาไปยังเจดีย์ ขึ้นไปถึงแร้วแบบว่ามันสวยมั่กๆอ่ะ แบบว่าพื้นโรยด้วยกรวดสีขาว แม่เจ้า ถ่ายรูปแร้วมันเหมือนหิมะมากๆ ฟ้าก็สวย เราเดินไปเคาะกลอง 3 ทีก่อน แร้วค่อยเดินขึ้นเจดีย์เก้าชั้นไปตีระฆังอีก 3 ที โหยแบบว่าเดินจนเหนื่อย แต่คุ้มอ่ะ วิวด้านบนสวยมั่กๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


เสร็จจากเจดีย์เราเดินกลับไปทางเดิม แต่ต้องเดินไปขึ้นรถไกลอ่ะ เพราะรถเคลื่อนไปจอดหน้าวัด SyuenTzang

ในวัดนี้เคยบรรจุกระดูกช่วงแขนของพระถัมซัมจั๋ง แต่ตอนนี้มีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าแทนแร้วอ่ะ คือมาถึงวัดนี้เราไม่ได้ดูไรมากอ่ะ มานเหนื่อยจนไร้อารมณ์ไปแร้วเลยเดินดูพอขำแล้วก็ไปขึ้นรถ

เราขึ้นรถก็เย็นแร้ว เค้าพาเรามาที่วัด Wen Wu ที่อยู่ด้านหน้าของโรงแรมที่เราจะพัก เราแค่เข้าไปถ่ายรูปกันขำๆ แร้วก็เดินออกมา เพราะวัดอยู่แค่นี้ ออกจากโรงแรมก็เจอแร้ว

พอถึงเวลาเดินเข้าโรงแรม แหม ตอนเค้าประกาศว่าพักชั้น 1 แบบว่าเราดีใจแทบตายว่าได้พักชั้น 1 ไม่ต้องลำบากเวลาขนของ ปรากฏว่าโรงแรมอยู่ติดหน้าผา ชั้นที่เราเข้าไปตอนแรก ที่ไปเจอล็อบบี้อ่ะ เป็นชั้น 4 เข้าไปแร้ว โคตรซวย ต้องขนกระเป๋าลงลิฟไปชั้น 1 เหอๆ

ตอนกลางคืนวันนี้เค้าให้เราตามสบาย เราเลยต้องมาซ้อมการแสดงที่จะแสดงวันสุดท้าย เลิกดึกเรยอ่ะ